ระบบสุริยะปราคา
สุริยุปราคา หรือ สุริยคราส เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ เกิดขึ้นเมื่อดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และโลก โคจรมาเรียงอยู่ในแนวเดียวกันโดยมีดวงจันทร์อยู่ตรงกลาง เกิดขึ้นเฉพาะในวันที่ดวงจันทร์มีดิถีตรงกับจันทร์ดับ เมื่อสังเกตจากพื้นโลกจะเห็นดวงจันทร์เคลื่อนเข้ามาบดบังดวงอาทิตย์ โดยอาจบังมิดหมดทั้งดวงหรือบางส่วนก็ได้ ในแต่ละปีสามารถเกิดสุริยุปราคาบนโลกได้อย่างน้อย 2 ครั้ง สูงสุดไม่เกิน 5 ครั้ง ในจำนวนนี้อาจไม่มีสุริยุปราคาเต็มดวงเลยแม้แต่ครั้งเดียว หรืออย่างมากไม่เกิน 2 ครั้ง[1] โอกาสที่จะได้เห็นสุริยุปราคาเต็มดวงสำหรับสถานที่ใดสถานที่หนึ่งบนพื้นโลกนั้นค่อนข้างยาก เนื่องจากสุริยุปราคาเต็มดวงแต่ละครั้งจะเกิดในบริเวณแคบ ๆ ภายในแถบที่เงามืดของดวงจันทร์พาดผ่านเท่านั้น
สุริยุปราคาเต็มดวงเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่สวยงาม น่าตื่นเต้น และสร้างความประทับใจแก่คนที่ได้ชม ผู้คนจำนวนมากต่างพากันเดินทางไปยังดินแดนอันห่างไกลเพื่อคอยเฝ้าสังเกตปรากฏการณ์นี้ สุริยุปราคาเต็มดวงเมื่อ พ.ศ. 2542 ที่เห็นได้ในทวีปยุโรป ทำให้สาธารณชนหันมาสนใจสุริยุปราคาเพิ่มขึ้นมาก สังเกตได้จากจำนวนประชาชนที่เดินทางไปเฝ้าสังเกตสุริยุปราคาวงแหวนใน พ.ศ. 2548 และสุริยุปราคาเต็มดวงใน พ.ศ. 2549 สุริยุปราคาครั้งที่ผ่านมาเมื่อเร็ว ๆ นี้ คือสุริยุปราคาวงแหวนเมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2552 และสุริยุปราคาเต็มดวงเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
ชนิดของสุริยุปราคา
สุริยุปราคามี 4 ชนิด ได้แก่
- สุริยุปราคาเต็มดวง (total eclipse) : ดวงจันทร์บังดวงอาทิตย์หมดทั้งดวงใน ช่วงเวลาตอนเช้าของวันที่ 14 พฤศจิกายน 2555 ตามเวลาของประเทศไทยจะเกิดปรากฏการณ์สุริยุปราคา (Solar Eclipse) หรือที่เรียกว่าสุริยะคราส ขึ้นเป็นครั้งที่สองของปี พ.ศ. 2555 เป็นปรากฏการการณ์สุริยุปราคาเต็มดวง (Total Solar Eclipse) ชุดซารอสที่ 133 แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ไม่สามารถสังเกตเห็นได้จากประเทศไทย เพราะแนวทางคราสเต็มดวงจะเคลื่อนที่พาดผ่านทางตอนเหนือของทวีปออสเตรเลียและ ทางตอนใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิก เนื่องจากบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกนั้นไม่มีผืนแแผ่นดินเราจึงไม่สามารถตั้งฐาน ในการสังเกตการณ์สุริยุปราคาเต็มดวงครั้งนี้ได้ จะเหลือแค่เพียงพื้นที่ทางตอนเหนือของทวีปออสเตรเลียที่จะมีความเหมาะสมใน การตั้งฐานสังเกตการณ์มากที่สุด โดยระยะเวลาในการเกิดปรากฏการณ์ตั้งแต่เริมต้นจนจบเป็นเวลายาวนานถึง 3.1 ชั่วโมง
ปรากฏการณ์สุริยุปราคาจะเกิดขึ้นเมื่อเงามัวของดวงจันทร์เคลื่อนที่มา สัมผัสกับผิวโลกในที่นี้จะเกิดขึ้นในช่วงเวลาประมาณ 02:37 น. ตามเวลาของประเทศไทย ส่วนปรากฏการณ์สุริยุปราคาเต็มดวง นั้นจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเงามืดของดวงจันทร์เคลื่อนที่มาสัมผัสกับผิวโลก ซึ่งจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาประมาณ 03:35 น. เงามืดจะเคลื่อนตัวพาดผ่านทางตอนเหนือของรัฐควีนส์แลนด์ (Queensland) ซึ่งพื้นที่ที่เหมาะสมที่สุดในการเป็นตั้งฐานสังเกตการณ์สุริยุปราคาเต็มดวง คือบริเวณเมืองแคนส์ (Cairns) ของประเทศออสเตรเลีย เงามืดของดวงจันทร์พาดผ่านกินพื้นที่เป็นวงกว้าง 30 กิโลเมตร ผู้สังเกตจะสามารถสังเกตการณ์สุริยุปราคาในขณะเต็มดวงเป็นเวลานานถึง 2.23 นาที ในขณะนั้นดวงอาทิตย์จะสูงจากขอบฟ้าประมาณ 14 องศา
หลังจากนั้นเงามืดของดวงจันทร์จะเคลื่อนที่ออกจากบริเวณดังกล่าว แนวคราสเต็มดวงจะเคลื่อนที่พาดผ่านทางตอนใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิก แต่ในบริเวณนี้ไม่มีเกาะหรือหมู่เกาะขนาดใหญ่ๆ ที่จะสามารถตั้งเป็นฐานในการสังเกตการณ์สุริยุปราคาได้เลย ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายอย่างมากเพราะในช่วงนี้เงามืดของดวงจันทร์จะพาดผ่าน และกินพื้นที่เป็นวงกว้างถึง 179 กิโลเมตร ทำให้สามารถสังเกตสุริยุปราคาเต็มดวงเป็นเวลานานถึง 4.02 นาที เงามืดของดวงจันทร์จะเคลื่อนที่ออกไป ก่อนจะไปสิ้นสุดคือหลุดออกจากผิวโลกในมหาสมุทรบริเวณตอนใต้ของประเทศชิลี เวลา 06:48 จากนั้นเงามัวของดวงจันทร์ก็เคลื่อนตัวจะหลุดออกจากผิวโลกเวลา 07:46 น. ถือเป็นการสิ้นสุดสุริยุปราคาในวันนี้สุริยุปราคาเต็มดวง สุริยุปราคาบางส่วน (partial eclipse) : มีเพียงบางส่วนของดวงอาทิตย์เท่านั้นที่ถูกบังเกิดจากตำแหน่งของโลก ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ ไม่ได้อยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกันขณะเกิดสุริยุปราคา ทำให้มองเห็นเฉพาะเงามัวของดวงจันทร์ทอดผ่านพื้นโลก ณ บริเวณนั้น และภายในเงามัวนี้ ดวงอาทิตย์จะถูกดวงจันทร์บดบังไปเพียงบางส่วนเท่านั้น เราจึงมองเห็นดวงอาทิตย์มีลักษณะเว้าแหว่ง ปรากฎการณ์นี้ยังสามารถเห็นได้ตลอดตามเส้นทางที่เกิดสุริยุปราคาวงแหวน หรือสุริยุปราคาเต็มดวง
- สุริยุปราคาวงแหวน (annular eclipse) : ดวงอาทิตย์มีลักษณะเป็นวงแหวน เกิดเมื่อดวงจันทร์อยู่ในตำแหน่งที่ห่างไกลจากโลก ดวงจันทร์จึงปรากฏเล็กกว่าดวงอาทิตย์
ในเช้าวันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม 2555 ตามเวลาประเทศไทย จะเกิดปรากฏการณ์สุริยุปราคาวงแหวน ชุดซารอสที่ 128 โดยปรากฏการณ์สุริยุปราคาครั้งนี้เป็นสุริยุปราคาแบบวงแหวน เนื่องจากดวงจันทร์มีวงโคจรรอบโลกค่อนข้างรี ในขณะที่เกิดสุริยุปราคาดวงจันทร์อยู่ในช่วงที่ไกลโลกที่ระยะทางประมาณ 404,000 กิโลเมตร ซึ่งจะทำให้ขนาดปรากฏบนท้องฟ้าของดวงจันทร์มีขนาดเล็กกว่าขนาดปรากฏของดวงอาทิตย์
และเมื่อวัตถุทั้งสามเรียงตัวกันในแนวเส้นตรง ดวงจันทร์จะบังดวงอาทิตย์ได้ไม่หมดเกิดเป็นสุริยุปราคาวงแหวน แต่เป็นที่น่าเสียดายเพราะประเทศไทยไม่อยู่ในบริเวณที่สามารถสังเกตเห็นสุริยุปราคาวงแหวนนี้ได้ เพราะแนวการบังของดวงจันทร์ จะเริ่มต้นที่ ทางตอนใต้ของประเทศจีน และเคลื่อนที่ไปทางตะวันออกผ่านมหาสมุทรแปซิฟิกไปจนถึงทวีปอเมริกา
ตารางแสดงการคำนวณเวลาที่จะเกิดสุริยุปราคาในแต่ละภูมิภาคของประเทศไทย
การเกิดสุริยุปราคาในประเทศไทย วันที่ 21 พฤษภาคม 2555จังหวัดเวลาดวงอาทิตย์ขึ้นพื้นที่การบัง(ดวงจันทร์บังดวงอาทิตย์)เวลาสิ้นสุดอุปราคามุมเงยของดวงอาทิตย์กรุงเทพมหานคร 05:5311.10%06:063.1°ขอนแก่น 05:3933.10%06:096.5°ฉะเชิงเทรา 05:5013.40%06:063.5°เชียงราย 05:4530.30%06:135.9°เชียงใหม่ 05:5121.20%06:124.6°ตาก 05:5315.10%06:103.7°นครพนม 05:3049.30%06:108.7°นครราชสีมา 05:4423.00%06:075.1°ประจวบคีรีขันธ์ 05:583.40%06:051.5°อุบลราชธานี 05:3339.40%06:077.5°
- สุริยุปราคาผสม (hybrid eclipse) : ความโค้งของโลกทำให้สุริยุปราคาคราวเดียวกันกลายเป็นแบบผสมได้ คือ บางส่วนของแนวคราสเห็นสุริยุปราคาเต็มดวง ที่เหลือเห็นสุริยุปราคาวงแหวน บริเวณที่เห็นสุริยุปราคาเต็มดวงเป็นส่วนที่อยู่ใกล้ดวงจันทร์มากกว่า
สุริยุปราคาจัดเป็นอุปราคาประเภทหนึ่ง เกิดขึ้นเฉพาะในวันที่ดวงจันทร์มีดิถีตรงกับจันทร์ดับ
การที่ขนาดของดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์เกือบจะเท่ากันถือเป็นเหตุบังเอิญ ดวงอาทิตย์มีระยะห่างเฉลี่ยจากโลกไกลกว่าดวงจันทร์ประมาณ 390 เท่า และเส้นผ่านศูนย์กลางของดวงอาทิตย์ก็ใหญ่กว่าเส้นผ่านศูนย์กลางของดวงจันทร์ประมาณ 400 เท่า ตัวเลขทั้งสองนี้ซึ่งไม่ต่างกันมาก ทำให้ดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์มีขนาดใกล้เคียงกันเมื่อมองจากโลก คือปรากฏด้วยขนาดเชิงมุมราว 0.5 องศา
วงโคจรของดวงจันทร์รอบโลกเป็นวงรีเช่นเดียวกันกับวงโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ ขนาดปรากฏของดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์จึงไม่คงที่[3][4] อัตราส่วนระหว่างขนาดปรากฏของดวงจันทร์ต่อดวงอาทิตย์ขณะเกิดคราสเป็นสิ่งที่บ่งบอกได้ว่าสุริยุปราคาอาจเป็นชนิดใด ถ้าคราสเกิดขึ้นระหว่างที่ดวงจันทร์อยู่บริเวณจุดใกล้โลกที่สุด (perigee) อาจทำให้เป็นสุริยุปราคาเต็มดวง เพราะดวงจันทร์จะมีขนาดปรากฏใหญ่มากพอที่จะบดบังผิวสว่างของดวงอาทิตย์ที่เรียกว่าโฟโตสเฟียร์ได้ทั้งหมด ตัวเลขอัตราส่วนนี้จึงมากกว่า 1 แต่ในทางกลับกัน หากเกิดคราสขณะที่ดวงจันทร์อยู่บริเวณจุดไกลโลกที่สุด (apogee) คราสครั้งนั้นอาจเป็นสุริยุปราคาวงแหวน เพราะดวงจันทร์จะมีขนาดปรากฏเล็กกว่าดวงอาทิตย์ อัตราส่วนนี้จึงมีค่าน้อยกว่า 1 สุริยุปราคาวงแหวนเกิดได้บ่อยกว่าสุริยุปราคาเต็มดวง เพราะโดยเฉลี่ยแล้วดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลกมากเกินกว่าจะบดบังดวงอาทิตย์ได้ทั้งหมด

การพยากรณ์สุริยุปราคา[แก้]
รูปแบบ[แก้]
แผนภาพแสดงการเกิดสุริยุปราคา (ภาพไม่เป็นไปตามมาตราส่วน)
แผนภาพทางขวาแสดงให้เห็นการเรียงตัวกันของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และโลก ระหว่างการเกิดสุริยุปราคา บริเวณสีเทาเข้มใต้ดวงจันทร์คือเขตเงามืด ซึ่งดวงอาทิตย์จะถูกดวงจันทร์บดบังไปทั้งดวง บริเวณเล็ก ๆ ที่เงามืดทาบกับผิวโลกคือจุดที่สามารถมองเห็นสุริยุปราคาเต็มดวงได้ บริเวณสีเทาอ่อนที่กว้างกว่าคือเขตเงามัว ซึ่งจะสังเกตเห็นสุริยุปราคาบางส่วน
วงโคจรของดวงจันทร์เป็นรูปวงรี ทำให้ระยะห่างระหว่างดวงจันทร์กับโลกแปรผันได้ประมาณ 6 เปอร์เซ็นต์จากค่าเฉลี่ย เพราะฉะนั้น ขนาดปรากฏของดวงจันทร์จึงแปรผันไปตามระยะห่างซึ่งส่งผลต่อการเกิดสุริยุปราคา ขนาดเฉลี่ยของดวงจันทร์เมื่อมองจากโลกมีขนาดเล็กกว่าดวงอาทิตย์เล็กน้อย ทำให้สุริยุปราคาส่วนใหญ่เป็นแบบวงแหวน แต่หากในวันที่เกิดสุริยุปราคานั้น ดวงจันทร์โคจรมาอยู่บริเวณจุดใกล้โลกที่สุด ก็จะเกิดสุริยุปราคาเต็มดวง ส่วนวงโคจรของโลกก็เป็นวงรีเช่นกัน ระยะห่างระหว่างดวงอาทิตย์กับโลกก็แปรผันไปในรอบปี แต่ส่งผลไม่มากนักต่อการเกิดสุริยุปราคา
ดวงจันทร์โคจรรอบโลกใช้เวลาประมาณ 27.3 วัน เมื่อเทียบกับกรอบอ้างอิงคงที่ เรียกว่าเดือนดาราคติ (sidereal month) แต่โลกก็โคจรรอบดวงอาทิตย์ในทิศทางเดียวกัน ทำให้ระยะเวลาจากจันทร์เพ็ญถึงจันทร์เพ็ญอีกครั้งหนึ่งกินเวลานานกว่านั้น คือ ประมาณ 29.6 วัน เรียกว่า เดือนจันทรคติ (lunar month) หรือเดือนดิถี (synodic month)
การนับเวลาที่ดวงจันทร์โคจรผ่านจุดโหนดขึ้น (ascending node) ซึ่งเป็นจุดที่ดวงจันทร์เคลื่อนที่จากใต้ระนาบสุริยวิถีขึ้นไปทางเหนือครบหนึ่งรอบก็เป็นการนับเดือนอีกวิธีหนึ่งเช่นกัน เดือนแบบนี้สั้นกว่าแบบแรกเล็กน้อย เนื่องจากจุดโหนดเคลื่อนที่ถอยหลังโดยเกิดจากอิทธิพลแรงโน้มถ่วงของดวงอาทิตย์ด้วยคาบ 18.6 ปี เรียกเดือนแบบนี้ว่า เดือนราหู (draconic month)
เดือนอีกแบบหนึ่งนับจากที่ดวงจันทร์โคจรผ่านจุดใกล้โลกที่สุด 2 ครั้งติดกัน เรียกว่า เดือนจุดใกล้ (anomalistic month) มีค่าไม่เท่ากับเดือนดาราคติ เนื่องจากวงโคจรของดวงจันทร์ส่ายไปโดยรอบด้วยคาบประมาณ 9 ปี
ความถี่[แก้]
แสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านช่องว่างระหว่างใบไม้ลงไปตกบนพื้นขณะเกิดสุริยุปราคาบางส่วน
ระยะเวลา[แก้]
สุริยุปราคาเต็มดวงจะเกิดในเวลาสั้นๆ เนื่องจากดวงจันทร์โคจรรอบโลกอย่างรวดเร็ว ในขณะที่โลกก็โคจรไปรอบดวงอาทิตย์ด้วยเช่นกัน ทำให้เงามืดที่ตกบริเวณโลกเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วจากตะวันตกไปตะวันออกในระยะเวลาสั้นๆหากสุริยุปราคาเกิดขึ้นเมื่อดวงจันทร์โคจรอยู่ใกล้ตำแหน่ง perigee มากๆ จะทำให้สุริยุปราคาเต็มดวงสามารถสังเกตได้ในบริเวณกว้าง ประมาณ 250 กิโลเมตร และเวลาในการเกิดนั้นอาจนานประมาณ 7 นาที
สุริยุปราคาบางส่วน ซึ่งเกิดจากเงามัวของดวงจันทร์นั้นสามารถเกิดได้ในบริเวณกว้างกว่าสุริยุปราคาเต็มดวงมาก
สุริยุปราคาในประวัติศาสตร์[แก้]
บันทึกในประวัติศาสตร์เล่าถึงสงครามกับปรากฏการณ์อุปราคาที่เลื่องลือที่สุด คือ เมื่อครั้งเกิดสุริยุปราคาเต็มดวง วันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. -41 ท้องฟ้าสว่างไสวในตอนกลางวันกลายเป็นกลางคืนไปชั่วขณะหนึ่ง เป็นเหตุให้สงครามเปอร์เซียที่นานยืดเยื้อถึง 6 ปี ระหว่างชาวลิเดียกับชาวเมเดสยุติลงได้ด้วยการเจรจาสันติภาพ และผูกสัมพันธ์ด้วยการแต่งงานกัน 2 คู่ ทั้งนี้ด้วยความยำเกรงในอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แสดงอิทธิฤทธิ์ในบัดดล ในครั้งนั้นเทลิส (Thales) นักดาราศาสตร์และนักปรัชญาชาวกรีกได้ทำนายการเกิดสุริยุปราคาไว้ก่อนแล้ว แต่ทั้งสองชนชาติอาจไม่รู้ถึงการทำนายนั้นพระเจ้าหลุยส์ จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่แห่งดินแดนยุโรปครั้งนั้น ถึงกับพิศวงงงงวยกับปรากฏการณ์ฟากฟ้าที่ดวงอาทิตย์มืดหมดดวงนานถึง 5 นาที ในวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 1383 แล้วพระองค์ก็สิ้นพระชนม์ เล่ากันว่าคงเป็นเพราะความตกใจ หลังจากนั้นเกิดศึกแย่งชิงบัลลังก์ยาวนานถึง 3 ปี มายุติลงด้วยสนธิสัญญาสันติภาพ (Treaty of Verdun) ซึ่งแบ่งยุโรปออกเป็นดินแดน 3 ประเทศ ที่เรารู้จักกันทุกวันนี้คือ ฝรั่งเศส เยอรมัน และอิตาลี

การสังเกตสุริยุปราคา[แก้]
ภาพจำลองแสดงการเคลื่อนที่ของเงาดวงจันทร์ขณะเกิดสุริยุปราคาเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 เห็นได้ในเอเชียและมหาสมุทรแปซิฟิก ตรงกลางคือเงามืด ที่ใหญ่กว่าคือเงามัว
ดังนั้นการดูดวงอาทิตย์จึงต้องอาศัยอุปกรณ์ช่วยกรองรังสีบางชนิดที่จะเข้าสู่ดวงตา การใช้แว่นกันแดดในการมองเป็นวิธีการที่ไม่ถูกต้อง เพราะไม่สามารถป้องกันสิ่งที่เป็นอันตราย รวมทั้งรังสีอินฟราเรดที่มองไม่เห็นซึ่งจะเป็นอันตรายต่อเรตินาได้ การสังเกตจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ที่ทำมาโดยเฉพาะ จึงจะสามารถมองดูดวงอาทิตย์ได้ตรง ๆ
การสังเกตที่ปลอดภัยมากที่สุด คือการฉายแสงจากดวงอาทิตย์ผ่านอุปกรณ์อื่น เช่น กล้องสองตา หรือกล้องโทรทรรศน์ แล้วใช้กระดาษสีขาวมารองรับแสงนั้น จากนั้นมองภาพจากกระดาษที่รับแสง แต่การทำเช่นนี้ต้องมั่นใจว่าไม่มีใครมองผ่านอุปกรณ์นั้นโดยตรง ไม่เช่นนั้นจะทำอันตรายต่อดวงตาของคนนั้นอย่างมาก โดยเฉพาะถ้ามีเด็กอยู่บริเวณนั้นต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ
อย่างไรก็ตาม สามารถดูดวงอาทิตย์ด้วยตาเปล่าโดยตรงได้เฉพาะในช่วงที่เกิดสุริยุปราคาเต็มดวงเท่านั้น นอกจากจะไม่เป็นอันตรายแล้ว สุริยุปราคาเต็มดวงยังสวยงามอีกด้วย ขณะเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงจะเห็นบรรยากาศชั้นคอโรนาแผ่ไปรอบดวงอาทิตย์ บางครั้งอาจเห็นโครโมสเฟียร์ (chromosphere) และเปลวสุริยะ (prominence) ที่พุ่งออกมาจากขอบดวงอาทิตย์ ซึ่งปกติจะไม่สามารถมองเห็นได้ แต่ควรหยุดดูดวงอาทิตย์ก่อนที่จะสิ้นสุดสุริยุปราคาเต็มดวงเล็กน้อย
ประโยชน์ของการสังเกตสุริยุปราคา[แก้]
นักดาราศาสตร์ใช้การเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงในการสังเกตบรรยากาศชั้นโคโรนาของดวงอาทิตย์ ซึ่งตามปกติจะถูกแสงที่สว่างจ้าของบรรยากาศชั้นโฟโตสเฟียร์กลบจนไม่สามารถมองเห็นได้สุริยุปราคามีระยะเวลา หรือวงรอบของการเกิดที่แน่นอน ทำให้สามารถทำนายการเกิดสุริยุปราคาครั้งต่อไปได้โดยการคำนวณอย่างง่ายๆจากความเร็วในการเคลื่อนที่ไปรอบดวงอาทิตย์ เปรียบเทียบตำแหน่งกับการที่ดวงจันทร์หมุนรอบโลก

สุริยุปราคาในประเทศไทย[แก้]
- ดูบทความหลักที่ สุริยุปราคาในประเทศไทย
ปรากฏการณ์สุริยุปราคา ถือเป็นปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ที่น่าตื่นตระหนก โดยสามารถคำนวณย้อนหลังถึงวันและเวลาที่ถูกต้องได้ระยะห่างที่สุริยุปราคาเต็มดวงจะกลับมาเกิดให้เห็นในที่เดิมซ้ำอีกเฉลี่ย 375 ปี สำหรับประเทศไทยในอดีตซึ่งก่อตั้งมาแล้วราว 762 ปี มีโอกาสได้เห็นสุริยุปราคาเต็มดวงที่ใดที่หนึ่งเฉลี่ย 2 ครั้ง รวมกับชนิดวงแหวนและบางส่วนอีกหลายครั้ง
สมัยกรุงสุโขทัย
ตลอดสมัยอาณาจักรสุโขทัย ไม่มีบันทึกประวัติศาสตร์แสดงถึงการพบเห็นสุริยุปราคา แต่มีสุริยุปราคาบางส่วนให้ชาวกรุงสุโขทัยได้เห็น 78 ครั้ง โดยไม่มีแนวคราสชนิดเต็มดวงหรือวงแหวนพาดผ่านกรุงฯ แต่ครั้งที่น่าสนใจที่คราสจับเกิน 90% มี 3 ครั้งดังนี้
14 พฤษภาคม พ.ศ. 1792 สุริยุปราคาบางส่วน 96% เกิดขึ้นในปีแรกที่สถาปนากรุงสุโขทัย ตรงกับสมัยของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ แนวคราสหลักเป็นชนิดเต็มดวง พาดผ่านเขลางค์นคร (นครลำปาง)
25 มีนาคม พ.ศ. 1897 สุริยุปราคาบางส่วน 96% ตรงกับสมัยของพระมหาธรรมราชาที่ 1 (พระยาลิไท) แนวคราสหลักเป็นสุริยุปราคาแบบผสม โดนส่วนที่ผ่านเข้ามาในประเทศไทยเป็นแบบเต็มดวง พาดผ่านเมืองแพร่ สำหรับอาณาจักรอยุธยา เห็นบางส่วน 85% ตรงกับสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง)
5 มิถุนายน พ.ศ. 1912 สุริยุปราคาบางส่วน 92% ตรงกับสมัยของพระมหาธรรมราชาที่ 2 (พระยาลือไทย) แนวคราสหลักเป็นสุริยุปราคาแบบผสม โดยส่วนที่ผ่านเข้ามาในประเทศไทยเป็นแบบเต็มดวง พาดผ่านภาคเหนือแต่ไม่ผ่านเมืองสำคัญ สำหรับอาณาจักรอยุธยา เห็นบางส่วน 82% เป็นช่วงรอยต่อระหว่างสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 และ สมเด็จพระราเมศวร
สำหรับในสมัยของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ไม่มีครั้งใดเกิน 90% โดยครั้งที่กินมากที่สุดเกิดขึ้นวันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 1833 กินหมด 85% แนวคราสหลักเป็นสุริยุปราคาชนิดวงแหวน พาดผ่านเวียงกุมกาม คราสกินหมด 88%
สมัยกรุงศรีอยุธยา
ตลอดสมัยอาณาจักรอยุธยา มีบันทึกการสังเกตสุริยุปราคาบางส่วน 1 ครั้ง แต่มีสุริยุปราคาที่เห็นได้จากกรุงศรีฯทั้งหมด 153 ครั้ง เป็นชนิดเต็มดวงพาดผ่านกรุงศรีฯถึง 3 ครั้ง เป็นชนิดวงแหวนพาดผ่าน 1 ครั้ง เป็นชนิดบางส่วนที่กินหมดเกิน 90% 3 ครั้ง ดังต่อไปนี้
7 กรกฎาคม พ.ศ. 1901 สุริยุปราคาวงแหวนพาดผ่านกรุงศรีฯครั้งแรกและครั้งเดียว กินหมด 89% นาน 1 นาที 49 วินาที ตรงกับสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) ขณะนั้นในอาณาจักรสุโขทัย เห็นเป็นชนิดบางส่วนกินหมด 87% ตรงกับสมัยพระมหาธรรมราชาที่ 1 (พระยาลิไท)
7 พฤษภาคม พ.ศ. 1988 สุริยุปราคาชนิดบางส่วน 90% ตรงกับสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) แนวคราสหลักเป็นชนิดวงแหวนผ่านเมืองชัยนาท, เมืองพิษณุโลก กินหมด 91%
21 กันยายน พ.ศ. 2111 สุริยุปราคาเต็มดวงครั้งแรก ในกรุงศรีฯเต็มดวงนาน 4 นาที 34 วินาที ตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ (พระเจ้าช้างเผือก) สำหรับหงสาวดีเห็นเป็นชนิดบางส่วน 99% ซึ่งขณะนั้นพระองค์ดำ(สมเด็จพระนเรศวรมหาราช) มีพระชนม์มายุ 13 พรรษา มีสถานะภาพเป็นองค์ประกันอยู่ที่หงสาวดี ต่อมาในเดือนตุลาคม พระเจ้าบุเรงนองทรงนำทัพเข้ารุกรานกรุงศรีอยุธยา และต่อมาในปี พ.ศ. 2112 ก็เกิดการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่หนึ่งขึ้น
20 มีนาคม พ.ศ. 2186 สุริยุปราคาเต็มดวงครั้งที่ 2 ในกรุงศรีฯเต็มดวงนาน 2 นาที 8 วินาที ตรงกับสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง แนวคราสผ่านเมืองกาญจนบุรี เมืองสุพรรณบุรี เมืองสิงห์บุรี เมืองชัยนาท เมืองลพบุรี เมืองสระบุรี ฯ โดยขณะนั้นสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีพระชนม์มายุ 11 พรรษา
30 เมษายน พ.ศ. 2212 สุริยุปราคาบางส่วน 95% ตรงกับสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ส่วนที่พระนารายณ์ราชนิเวศน์ ลพบุรี เป็นบางส่วน 96% แนวคราสหลักเป็นสุริยุปราคาแบบผสม แต่แนวคราสส่วนที่ผ่านเข้ามาในสยามเป็นแบบเต็มดวง ผ่านเมืองนครสวรรค์
30 เมษายน พ.ศ. 2231 มีบันทึกการสังเกตสุริยุปราคาในตอนเช้า โดยคณะบาทหลวงนักดาราศาสตร์ชาวฝรั่งเศสได้ตั้งกล้องโทรทัศน์ ฉายภาพสุริยุปราคามาปรากฏบนฉากรับให้สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทอดพระเนตร ณ พระที่นั่งไกรสรสีหราช (พระที่นั่งเย็น) เมืองลพบุรี[3] ปรากฏเป็นชนิดบางส่วน 68% แนวคราสหลักเป็นชนิดเต็มดวง พาดผ่านประเทศอินเดีย บังกลาเทศ ตอนเหนือของพม่า จีน และแคนนาดา ขณะนั้นในกรุงศรีฯเป็นแบบบางส่วน 66%
14 กันยายน พ.ศ. 2251 สุริยุปราคาบางส่วน 99% ตรงกับสมัยสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 9 (สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ) แนวคราสหลักเป็นแบบเต็มดวง ผ่านเมืองนครสวรรค์, เมืองนครราชสีมา สำหรับหงสาวดีเห็นบางส่วน 99% เช่นกัน
3 มิถุนายน พ.ศ. 2285 สุริยุปราคาเต็มดวงครั้งที่ 3 ตอนเช้าตรู่ ในกรุงศรีฯเต็มดวงนาน 2 นาที 29 วินาที ตรงกับสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ แนวคราสยังผ่านเมืองนครราชสีมา ซึ่งขณะนั้นนายสิน(สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช) มีอายุ 8 ปี และทองด้วง(พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช) มีพระชนมายุ 6 พรรษา
สำหรับสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ไม่มีครั้งใดเกิน 90% โดยครั้งที่น่าสนใจเกิดขึ้นวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2133 ซึ่งเกิดหลังการขึ้นครองราชย์ได้เพียง 2 วัน เป็นชนิดบางส่วน 76% ส่วนครั้งที่กินมากที่สุด เกิดขึ้นวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2147 เป็นชนิดบางส่วน 82% แนวคราสหลักเป็นชนิดวงแหวน ผ่านเมืองชุมพร
สมัยกรุงธนบุรี
ตลอดสมัยอาณาจักรธนบุรีมีสุริยุปราคาบางส่วน 3 ครั้ง แต่ไม่มีบันทึกประวัติศาสตร์ ไม่มีครั้งใดกินหมดเกิน 90% โดยครั้งที่กินหมดมากที่สุดเกิดขึ้นวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2313 ในกรุงธนบุรีเห็นเป็นชนิดบางส่วน 86% แนวคราสหลักเป็นชนิดเต็มดวง พาดผ่านเมืองนครศรีธรรมราช
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
มีบันทึกการสังเกตสุริยุปราคาเต็มดวง 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411 ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน โดยนับตั้งแต่สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นต้นมา มีสุริยุปราคาแบบเต็มดวงและแบบวงแหวนอีกหลายครั้ง ดังจะแสดงสุริยุปราคาที่มีเส้นทางผ่านเข้ามาในประเทศไทย โดยถือตามขอบเขตประเทศตามแผนที่ปัจจุบันได้ดังนี้
รัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
5 สิงหาคม พ.ศ. 2328 สุริยุปราคาวงแหวน พาดผ่านภาคเหนือตอนบน เมืองเชียงใหม่ สำหรับกรุงเทพฯเห็นเป็นชนิดบางส่วน 74%
30 มกราคม พ.ศ. 2329 สุริยุปราคาแบบผสม โดยส่วนที่พาดผ่านเข้ามาในสยามเป็นแบบวงแหวน แนวคราสผ่านเมืองลำพูน กรุงเทพฯเห็นเป็นชนิดบางส่วน 86%
4 มิถุนายน พ.ศ. 2331 สุริยุปราคาเต็มดวงครั้งแรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ที่พาดผ่านเข้ามาในประเทศไทย แนวคราสมืดเฉียดอำเภอแม่สาย และออกสู่หลวงพระบาง ในกรุงเทพฯเห็นเป็นชนิดบางส่วน 79%
รัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
16 พฤษภาคม พ.ศ. 2360 สุริยุปราคาวงแหวน แนวคราสกว้าง 213 ก.ม. พาดผ่านภาคกลางตอนบน และภาคอีสานตอนล่าง กรุงเทพฯเห็นเป็นชนิดบางส่วน 88%
รัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
21 ธันวาคม พ.ศ. 2386 สุริยุปราคาเต็มดวงครั้งที่ 2 แนวคราสผ่านเมืองตรัง เมืองพัทลุง กรุงเทพฯเห็นเป็นชนิดบางส่วน 82%
9 ตุลาคม พ.ศ. 2390 สุริยุปราคาวงแหวนผ่านภาคเหนือและภาคอีสานตอนบน กรุงเทพฯเห็นเป็นชนิดบางส่วน 79%
รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
18 กันยายน พ.ศ. 2400 สุริยุปราคาวงแหวน แนวคราสผ่านเมืองประจวบคีรีขันธ์ กรุงเทพเห็นเป็นชนิดบางส่วน 90%
8 กรกฎาคม พ.ศ. 2404 สุริยุปราคาวงแหวนผ่านสุไหงโกลก กรุงเทพฯเห็นเป็นชนิดบางส่วน 68%
18 สิงหาคม พ.ศ. 2411 สุริยุปราคาเต็มดวงครั้งที่ 3 ดูบทความหลักที่ สุริยุปราคาเต็มดวง 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411 ขาว เหมือนวงศ์ นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น พบว่าสุริยุปราคาครั้งนี้เป็นวงรอบซารอสเดียวกันกับสุริยุปราคาที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทอดพระเนตรวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2231 โดยห่างกัน 10 วงรอบซารอส หรือ 180 ปี
รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (สมเด็จพระปิยะมหาราช)
17 มิถุนายน พ.ศ. 2433 สุริยุปราคาวงแหวนผ่านภาคเหนือตอนบน กรุงเทพฯเห็นเป็นชนิดบางส่วน 72%
11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2444 สุริยุปราคาวงแหวนผ่านจังหวัดระนอง ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ ระยอง จันทบุรี ตราด สำหรับกรุงเทพฯ เห็นเป็นชนิดบางส่วน 82%
17 มีนาคม พ.ศ. 2447 สุริยุปราคาวงแหวนผ่านจังหวัดภูเก็ต พังงา กระบี่ สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ส่วนกรุงเทพฯเห็นเป็นชนิดบางส่วน 81%
รัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ไม่มีสุริยุปราคาผ่านเข้ามาในสยาม
รัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
9 พฤษภาคม พ.ศ. 2472 สุริยุปราคาเต็มดวงครั้งที่ 5 แนวคราสผ่านจังหวัดสตูล สงขลา ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จ ในวันที่ 8 พฤษภาคม ไปยังสถานที่สำรวจสุริยุปราคา 3 แห่งตามคำกราบบังคมทูลเชิญ ได้แก่ สถานที่สำรวจของคณะดาราศาสตร์ชาวอังกฤษ, สถานที่สำรวจของคณะดาราศาสตร์ชาวเยอรมัน(ตำบลโคกโพธิ์) และสถานที่สำรวจของกรมแผนที่และกรมชลประทาน ส่วนในวันที่เกิดปรากฏการณ์จริง เสด็จไปทอดพระเนตร ณ สถานที่สำรวจของนักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษ เพราะเป็นคณะแรกที่ได้กราบบังคมทูลเชิญมาก่อน มีที่ตั้งอยู่บริเวณหน้าสนามของโรงเรียนประจำมณฑลปัตตานี (โรงเรียนเบญจมราชูทิศ ปัตตานี) ซึ่งเห็นเต็มดวงนาน 4 นาที 58 วินาที ด้วยความสนพระราชหฤทัยในวิทยาศาสตร์ ทรงอยู่ถึงวันที่ 10 พฤษภาคม 2472 เพื่อรอศึกษาตำแหน่งการโคจรของดวงจันทร์ร่วมกับคณะนักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษ และคณะนักดาราศาสตร์ชาวเยอรมัน [5] กรุงเทพฯ เห็นเป็นชนิดบางส่วน 78%
21 สิงหาคม พ.ศ. 2476 สุริยุปราคาวงแหวนผ่านจังหวัดเพชรบุรี วังไกลกังวล ประจวบคีรีขันธ์ ส่วนกรุงเทพฯเห็นเป็นชนิดบางส่วน 93%
รัชกาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล
20 กรกฎาคม พ.ศ. 2487 สุริยุปราคาวงแหวนผ่านภาคเหนือและภาคอีสาน กรุงเทพฯเห็นเป็นชนิดบางส่วน 82%
รัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
9 พฤษภาคม พ.ศ. 2491 สุริยุปราคาวงแหวน แนวคราสผ่านสมุทรสงคราม ราชบุรี สมุทรสาคร และพาดผ่านกรุงเทพฯ กินหมด 99% และออกสู่ภาคอีสาน
20 มิถุนายน พ.ศ. 2498 สุริยุปราคาเต็มดวงครั้ง ที่ 6 แนวคราสผ่านจังหวัดกาญจนบุรี นครปฐม พระนครศรีอยุธยา นนทบุรี ปทุมธานี สระบุรี นครนายก ปราจีนบุรี นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีและสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เสด็จทอดพระเนตรที่อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา [6] เห็นเต็มดวงนาน 6 นาที 25 วินาที กรุงเทพฯ เห็นเต็มดวงนาน 6 นาที 10 วินาที
14 ธันวาคม พ.ศ. 2498 สุริยุปราคาวงแหวน ผ่านกรุงเทพฯ กินหมด 83%
19 เมษายน พ.ศ. 2501 สุริยุปราคาวงแหวนผ่านกรุงเทพฯ กินหมด 88%
23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2508 สุริยุปราคาวงแหวนครั้งล่าสุดในประเทศไทย ผ่านภาคเหนือและภาคอีสาน กรุงเทพฯเห็นเป็นชนิดบางส่วน 86%
24 ตุลาคม พ.ศ. 2538 สุริยุปราคาเต็มดวงครั้ง ที่ 7 เป็นสุริยุปราคาเต็มดวงครั้งล่าสุดที่ผ่านเข้ามาในประเทศไทย แนวคราสมืดผ่านจังหวัดตาก กำแพงเพชร นครสวรรค์ ลพบุรี นครราชสีมา บุรีรัมย์ และสระแก้ว สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา เสด็จไปทอดพระเนตร ณ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) วิทยาเขตสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา [7] ซึ่งเห็นเต็มดวงนาน 1 นาที 52 วินาที สำหรับกรุงเทพฯ เห็นเป็นชนิดบางส่วน 96%
อาณาจักรอยุธยา มีบันทึกการสังเกตสุริยุปราคาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ในตอนสายของวันที่ 30 เมษายน 2231 เป็นสุริยุปราคาเต็มดวงที่แนวคราสมืดไม่ได้พาดผ่านสยามประเทศ จึงสังเกตเห็นเป็นชนิดบางส่วน
กรุงรัตนโกสินทร์
- ครั้งที่ 1 เกิดสุริยุปราคาเต็มดวง 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411 ตรงตามเวลาที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงคำนวณไว้ ที่ตำบลหว้ากอจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นสุริยุปราคาเต็มดวงครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของไทย
- ครั้งที่ 2 เกิดสุริยุปราคาเต็มดวงเมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2418 โดยเป็นสุริยุปราคาเต็มดวงครั้งแรกที่เห็นได้ในกรุงเทพมหานครนับตั้งแต่สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นต้นมา โดยกินหมดดวงเวลา 14:31:29 น. - 14:35:21 น. ตามเวลามาตรฐานประเทศไทยในปัจจุบัน แต่เส้นกึ่งกลางคราสไม่ผ่านกรุงเทพฯ[5]
- ครั้งที่ 3 เกิดสุริยุปราคาเต็มดวงวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2472 เห็นได้ที่จังหวัดสตูล สงขลา ยะลา ปัตตานี นราธิวาส [6] โดยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จไปทอดพระเนตรที่จังหวัดปัตตานี โดยมีคณะนักดาราศาสตร์จากต่างประเทศขนอุปกรณ์มาศึกษาสุริยุปราคาด้วย แต่หลังจากนั้นก็มีการประดิษฐ์เครื่องมือศึกษาดวงอาทิตย์ได้โดยไม่ต้องพึ่งสุริยุปราคาอีก
- ครั้งที่ 4 เกิดสุริยุปราคาเต็มดวง ในหลายจังหวัด เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2498 นับเป็นสุริยุปราคาเต็มดวงครั้งที่สองที่เห็นได้ในกรุงเทพ
- ครั้งที่ 5 เกิดสุริยุปราคาเต็มดวง ในเขต 11 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดตาก จังหวัดกำแพงเพชร จังหวัดอุทัยธานี จังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดลพบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดสระแก้ว จังหวัดพิจิตร และ จังหวัดชัยภูมิ เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2538[7]
อาณาจักรอยุธยา ระหว่าง พ.ศ. 1893-2310 ใช้เวลาถึง 417 ควรมีสุริยุปราคาครบทุกรูปแบบ ไม่ว่าแบบบางส่วน แบบวงแหวน แบบเต็มดวง และแบบผสม หลายครั้งแนวคราสก็พาดผ่านเข้ามาในเขตสยาม แต่หากเจาะจงเฉพาะเกาะเมืองกรุงศรีอยุธยา ความน่าจะเป็นที่จะได้เห็นสุริยุปราคาเต็มดวงพาดผ่าน มีอย่างน้อย 1-2 ครั้ง เพราะโดยเฉลี่ยทั่วโลกแล้ว จะใช้เวลาประมาณ 360 ปีถึงจะได้เห็นสุริยุปราคาเต็มดวงในจุดเดิมอีกครั้ง แต่จากการตรวจสอบด้วยคณิตกรณ์ มีสุริยุปราคาเต็มดวงที่แนวคราสพาดผ่านเกาะเมืองอยุธยาถึง 3 ครั้ง ซึ่งถือว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก แต่กลับไม่มีในบันทึกประวัติศาสตร์เลยซักครั้ง
- ครั้งที่ 1 วันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2111 แนวคราสกว้างครอบคลุมถึงบางกอก และยังเฉียดไปใกล้กับหงส์สาวดี
- ครั้งที่ 2 วันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2186
- ครั้งที่ 3 วันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2285ตอนเช้าตรู่
- ส่วนสุริยุปราคาเต็มดวง ที่จะเห็นในประเทศไทยครั้งต่อไป จะเกิดในวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2613 ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

อ้าวอิง
http://th.wikipedia.org/wiki/สุริยุปราคา.วันที่ค้นหา .21/07/2010
http://www.narit.or.th/index.php/astronomy-news/71-solar.สุริยุปราคาเต็มดวง.วันที่สืบค้น.21/07/2013
http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID.สุริยุปราคาบางส่วน.วันที่สืบค้น.21/07/2013
http://www.narit.or.th/index.php/2012-11-15-06-31-22/132-annular-solar-eclipse.สุริยุปราคาวงแหวน.วันที่สืบค้น.21/07/2013
http://th.wikipedia.org/wiki/สุริยุปราคาประไทย.วันที่สืบค้น.21/07/2013
http://www.narit.or.th/index.php/astronomy-news/71-solar.สุริยุปราคาเต็มดวง.วันที่สืบค้น.21/07/2013
http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID.สุริยุปราคาบางส่วน.วันที่สืบค้น.21/07/2013
http://www.narit.or.th/index.php/2012-11-15-06-31-22/132-annular-solar-eclipse.สุริยุปราคาวงแหวน.วันที่สืบค้น.21/07/2013
http://th.wikipedia.org/wiki/สุริยุปราคาประไทย.วันที่สืบค้น.21/07/2013
จัดทำโดย นางสาว ละมัย ขันทองดี
เลขที่ 3 ชั้น ม. 6/6